ผิวที่เคยแน่นกระชับ เมื่ออายุเพิ่มขึ้นกลับเริ่มหย่อนคล้อยอย่างเห็นได้ชัด ทั้งบริเวณกรอบหน้า ใต้คาง มุมปาก หรือแม้แต่ร่องแก้ม ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นจากการสูญเสียคอลลาเจนและอิลาสตินตามธรรมชาติ การไหลเวียนของเลือดลดลง และการเคลื่อนตัวของชั้นไขมันและกล้ามเนื้อใต้ผิวหนัง

เทคโนโลยี “ยกกระชับ” มีบทบาทสำคัญ
การกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูผิวตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น และสามารถเห็นผลได้ในระดับที่น่าพอใจ เทคโนโลยีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในคลินิกความงาม มีหลักการทำงานที่แตกต่างกันเล็กน้อย แต่มีเป้าหมายเหมือนกัน คือ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในระดับลึกของชั้นผิว
เทคโนโลยียกกระชับทำงานกับผิวในแต่ละชั้นอย่างไร
- HIFU (High Intensity Focused Ultrasound)
คลื่นเสียงพลังงานสูงที่สามารถลงลึกถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นกล้ามเนื้อที่ศัลยแพทย์ ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า คลื่น HIFU ช่วยให้ชั้น SMAS หดตัวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มมีความหย่อนคล้อย แต่ยังไม่ต้องการศัลยกรรม
- RF (Radio Frequency)
คลื่นความถี่วิทยุจะปล่อยพลังงานความร้อนลงสู่ชั้นผิว ซึ่งมีทั้งแบบ Monopolar RF ที่ลงลึก และ Bipolar RF ที่ทำงานตื้นกว่า ความร้อนจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ (Dermis) ช่วยให้ผิวแน่นขึ้น ลดความหย่อนคล้อยเล็กน้อย
- MMFU (Micro & Macro Focused Ultrasound)
เทคโนโลยีในเครื่อง Ultraformer MPT ใช้หัวยิงหลายขนาดเพื่อทำงานในหลายระดับความลึก ทั้งผิวชั้นตื้น กลาง ลึก และ SMAS ทำให้ได้ผลลัพธ์แบบ 3 มิติ ทั้งเรื่องผิวกระชับ ผิวฟู และรูปหน้าชัดขึ้น

ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน
ผลลัพธ์จากเทคโนโลยียกกระชับผิวแบบไม่ต้องผ่าตัดนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาพผิว อายุ การดูแลหลังทำ และชนิดของเทคโนโลยี โดยเฉลี่ยผลลัพธ์จะอยู่ได้ราว 6 เดือน ถึง 1 ปี โดยสามารถทำซ้ำได้ปีละ 1–2 ครั้ง เพื่อคงผลลัพธ์ให้ยาวนาน
ใครเหมาะกับเทคโนโลยียกกระชับเหล่านี้บ้าง
- ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย แต่ยังไม่มากจนต้องศัลยกรรม
- ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ดูชัดขึ้น โดยไม่ต้องฉีดหรือผ่าตัด
- ผู้ที่มีแนวโน้มผิวบาง เสียรูปง่ายจากพฤติกรรม เช่น นอนดึก เครียด ดื่มน้ำน้อย
เทคโนโลยียกกระชับ เป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับผู้ที่อยากดูแลตัวเองแบบไม่ต้องเสี่ยง ไม่ต้องพักฟื้น และยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติหลังทำทันที